สถานที่ทำงานแบบฟิสิคอลนั้นมักถือเป็นการลงทุนที่มากที่สุดอันดับสองรองจากพนักงาน ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่ปฏิบัติงานมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งวัฒนธรรมและความสามารถในการทำงาน ที่ทำงานที่ดีเยี่ยมสามารถทำให้ชีวิตการทำงานของพวกเราดีขึ้นในทุกๆ ด้าน และในขณะเดียวกัน สถานที่ปฏิบัติงานที่แย่ก็สามารถทำให้พวกเราไม่มีความสุขได้
ดังนั้น ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจจึงเลือกลงทุนกับสำนักงานของตัวเองอย่างเต็มใจ และเห็นคุณค่าที่ได้อย่างชัดเจน ขณะที่การลงทุนด้านเน็ตเวิร์ก หรือที่ทำงานแบบดิจิตอลนั้น หลายครั้งมักยากที่เห็นผลชัดเจน แม้ความเป็นจริงตัวเครือข่ายเองผสานเข้ากับความสามารถในการทำงานได้มากกว่าที่ทำงานเชิงฟิสิคอลเสียอีก รวมทั้งสามารถปรับแต่งเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าด้วย
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน Ricoh ได้อธิบายเปรียบเทียบไว้ดังนี้
ถ้าสำนักงานโดนน้ำท่วมจนต้องปิดทำการ คนอื่นก็ยังทำงานได้ ไม่ว่าจะทำงานจากบ้านตัวเอง จากร้านกาแฟ หรือแม้แต่ทำงานจากสำนักงานที่อื่นได้เนื่องจากยังมีระบบเน็ตเวิร์กเชื่อมต่อ แต่ถ้าเน็ตเวิร์กนี้ล่มขึ้นมา ทุกอย่างก็ต้องหยุดทำงาน แม้แต่คนที่ทำงานนั่งข้างกันในออฟฟิศก็ตาม เรียกได้ว่าทุกคนไม่มีแผนสำรองที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ตเลยทีเดียว
กรณีศึกษาของ Norsk Hydro
ทั้งนี้ ทาง Ricoh ได้นำเสนอกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นข้างต้นดังต่อไปนี้
มีกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่เล่นงานอุปกรณ์จำนวนกว่า 22,000 เครื่องของผู้ผลิตอะลูมิเนียมชาวนอร์เวยชื่อ Norsk Hydro จนทำให้ระบบออฟไลน์ทำให้บริษัทต้องเสียเงินไปกว่า 45 ล้านปอนด์เพื่อกู้ระบบที่จำเป็นต่อธุรกิจของตนเองกลับมาออนไลน์อีกครั้ง แล้วระหว่างที่เกิดดาวน์ไทม แผนกการเงินจำเป็นต้องติดต่ออดีตพนักงานเพื่อขอร้องให้เข้ามาช่วยทำงานที่สำนักงาน เนื่องจากมีแค่พนักงานเก่ากลุ่มนี้เท่านั้นที่ทราบขั้นตอนการทำงานต่างๆ แบบที่ยังไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ต
เรียกว่าบริษัทนี้ต้องหันกลับไปหารูปแบบการทำงานแบบเก่าสมัยที่ยังไม่ใช้อินเทอร์เน็ต ที่สุดท้ายก็ต้องไปง้ออดีตพนักงานที่ออกไปก่อนหน้าแล้ว เพราะเป็นแค่คนกลุ่มเดียวที่รู้วิธีทำงานผ่านกระดาษ
ประสิทธิภาพของเน็ตเวิร์ก คือประสิทธิภาพของธุรกิจ
ยุคนี้ พนักงานแค่คนเดียวก็สามารถทำงานย่อยๆ หลายร้อยรายการได้เสร็จภายในวันเดียวผ่านอินเทอร์เน็ตโดยที่งานส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจนเราแทบไม่ได้ตระหนักว่าเรากำลังทำงานเหล่านั้นอยู่ เช่น เราต่างเช็คเมล์เป็นปกติเหมือนสัญชาตญาณเช่นเดียวกับที่เราคอยเช็คโทรศัพท์ของตัวเอง
ถ้าพนักงานหนึ่งคนทำงานขนาดเล็ก 100 รายการผ่านแอพพลิเคชั่นบนคลาวด์ทุกวัน ดังนั้นทีมงานที่มีจำนวน 8 คนก็อาจทำงานได้รวมถึง 800 รายการ นั่นแสดงว่าธุรกิจที่มีทีมงานแบบนี้ประมาณ 10 ทีมก็จะสามารถทำงานได้มากถึง 8,000 รายการต่อวันทีเดียว
ซึ่งกรณีที่การเชื่อต่ออินเทอร์เน็ตมีความเร็วสูงพอ และสามารถรองรับผู้ใช้ทั้งหมดได้ก็ย่อมไม่เกิดปัญหาอะไร แต่ถ้าอินเทอร์เน็ตเกิดช้าไปสองวินาทีต่องานหนึ่งรายการ สองวินาทีนี้ก็จะถูกคูณไปด้วยจำนวนงานและผู้ใช้ทั้งหมด จนกลายเป็นเวลาที่สูญเปล่าปริมาณมหาศาลต่อปีที่ดูร้ายแรงขึ้นมา
ดังนั้น เมื่อเน็ตเวิร์กช้าลง แม้แต่นิดเดียวก็ตาม ย่อมส่งผลให้ธุรกิจหยุดชะงักอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับปัญหาอื่นที่พบบ่อยด้วยอย่างเช่น ความเสถียรของเครือข่าย และปัญหาความปลอดภัยบนเครือข่าย ถ้าเน็ตเวิร์กต้องออฟไลน์ไป ธุรกิจก็ถูกออฟไลน์ไปด้วย ถ้าเน็ตเวิร์กไม่ปลอดภัย ธุรกิจก็ไม่ปลอดภัยทั้งนี้เพราะเน็ตเวิร์กเป็นแหล่งจัดเก็บข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยของมนุษย์ที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ไม่เสถียรย่อมทำให้เกิดความรู้สึกกระวนกระวายจนส่งผลถึงความพึงพอใจในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น การประชุมหรือโทรศัพท์ผ่านวิดีโอที่ได้ยินไม่ชัดเจน หรือถูกตัดสัญญาณเป็นประจำ, ความเร็วที่ช้าเกินไปในการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่, บริการผ่านคลาวด์ที่ไม่สามารถให้บริการได้ตามต้องการเนื่องจากการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร (จนเปลืองค่าไลเซนส์หรือค่าบริการที่จ่ายตามเวลาใช้งาน)
ที่มา: https://insights.ricoh.co.uk/simplifying-technology/network-people-working