Breaking News
Home / Finance / “กรุงไทย” แนะทางรอดภาคเษตรไทย ใช้ระบบบริหารจัดการน้ำอัฉริยะ ลดผลกระทบภาวะโลกร้อน ตอบโจทย์เกษตรแห่งอนาคต

“กรุงไทย” แนะทางรอดภาคเษตรไทย ใช้ระบบบริหารจัดการน้ำอัฉริยะ ลดผลกระทบภาวะโลกร้อน ตอบโจทย์เกษตรแห่งอนาคต

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS แนะภาคเกษตรไทย ใช้ระบบการบริหารจัดการน้ำแบบอัฉริยะ เพื่อรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ช่วยเพิ่มศักยภาพการจัดการน้ำ ลดความเสี่ยงความเสียหายของผลผลิตจากภาวะโลกร้อน ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตอบโจทย์เกษตรแห่งอนาคต คาดในช่วง 7 ปีข้างหน้า ไทยอาจต้องลงทุนเพิ่มเพื่อยกระดับการจัดการน้ำกว่า 3.6 แสนล้านบาท

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภาคเกษตรไทยเผชิญปัญหาผลิตภาพตกต่ำ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยากแก้ไข ส่งผลให้ GDP ภาคเกษตรมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของ GDP ประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากการจัดการน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ และ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 26% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ โดย 36% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร มาจากระบวนการจัดการน้ำ ดังนั้นภาคเกษตรไทยจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยีมาช่วยปรับปรุงกระบวนการบริหารจัดการน้ำ เพื่อยกระดับผลิตภาพภาคเกษตรให้สูงขึ้น รับมือการเปลี่ยนผ่านของภาคเกษตรและอาหารไปสู่แนวทางสีเขียว

“Climate Smart Water Management Solutions หรือ ระบบการบริหารจัดการน้ำแบบอัฉริยะ เพื่อรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นตัวช่วยที่น่าสนใจในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในยุค Decarbonization ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับการบริหารจัดการน้ำเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น เทคโนโลยีการผลิตน้ำจากอากาศ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีชีวภาพทดแทนการใช้สารเคมีเพื่อนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ หรือการใช้เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น”

นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า Climate Smart Water Management Solutions ช่วยลดความเสี่ยงผลผลิตภาคเกษตรเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรง และรับมือกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น โดยในระยะข้างหน้าหากผู้ประกอบการรายใดใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิตสูงเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อาจจะถูกคู่ค้านำมาเป็นประเด็นกีดกันทางการค้าได้

“เทคโนโลยี Climate Smart Water Management Solutions ช่วยให้ภาคเกษตรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากใช้เทคโนโลยีผลิตน้ำจากอากาศ โดยดึงน้ำจากความชื้นในอากาศ แทนการจัดหาน้ำจากแหล่งน้ำบาดาล สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 70% ขณะที่การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีทางชีวภาพหรือใช้จุลินทรีย์ทดแทนการใช้สารเคมีในการกำจัดสิ่งเจือปนในน้ำ ช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 60% หรือการปลูกข้าวเปียกสลับแห้ง ซึ่งเป็นการควบคุมระดับน้ำในแปลงนาให้มีช่วงน้ำขังสลับกันไปกับช่วงน้ำแห้งในช่วงเวลาที่เหมาะสม ช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 30% และ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตข้าวได้ถึง 50%”

นายกฤชนนท์ จินดาวงศ์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า หากต้องการให้ไทยยกระดับการบริหารจัดการน้ำไปสู่ Climate Smart Water Management Solutions จำเป็นต้องมีการร่วมมือกันตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ สถาบันวิจัยและพัฒนา ไปถึงจนหน่วยงานภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จาก Climate Smart Water Management Solutions ได้อย่างเต็มที่ ทั้งในแง่ของการสร้างแรงจูงใจให้ภาคเกษตรสามารถเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น และกระตุ้นการรับรู้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ รวมถึงทำความเข้าใจถึงวิธีการการประเมิน Water Footprint ของภาคเกษตร

“ การยกระดับการบริหารจัดการน้ำไปสู่ Climate Smart Water Management Solutions คาดว่าต้องใช้เม็ดเงินลงทุนถึงราว 3.6 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2567-2573 หรือราวปีละ 5.1 หมื่นล้านบาท แต่ยังต่ำกว่าความเสียหายของผลผลิตภาคเกษตรไทยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเมินว่ามีมูลค่าราวปีละ 8.3 หมื่นล้านบาท โดยภาครัฐต้องเป็นแกนหลักในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ เช่น อ่างเก็บน้ำและระบบชลประทาน เป็นต้น เพื่อให้การเข้าถึงแหล่งน้ำและระบบชลประทานสำหรับการทำการเกษตรทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มผลิตภาพภาคเกษตรและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรไทยได้อย่างยั่งยืน”

Check Also

AIS ประสบความสำเร็จการขายหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย

“บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “AIS”)  ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่เชื่อมั่นและจองซื้อหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนที่บริษัทเสนอขายในครั้งนี้จำนวน 5 รุ่น ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.54% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 4 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 2.74% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.76% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.92% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.22% ต่อปี  โดยเปิดจองซื้อในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ AAA(tha) จาก บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี  ส่งผลให้ยอดจองซื้อหุ้นกู้เต็มจำนวนตามเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท