นายวรยุทธ กิตติอุดม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีเนกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะอุปนายก สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่รัฐบาลมอบนโยบายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้มีการยืดการผ่อนชำระไปจนถึงอายุ 80-85 ปี ว่าเป็นการช่วยลดภาระการผ่อนชำระรายเดือนของผู้กู้ในแต่ละเดือนลดลง
ช่วยให้ผู้กู้สามารถวางแผนการเงินระยะยาวได้ง่ายขึ้น และมีเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นขึ้น ซึ่งช่วยผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่มีภาระทางการเงินอื่นๆ มีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านได้มากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งการยืดอายุการผ่อน ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องชำระในระยะยาวเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนรวมของบ้านสูงกว่าการผ่อนในระยะสั้น และผู้กู้มีภาระผ่อนบ้านจนถึงอายุ 85 ปี อาจทำให้ผู้กู้ต้องรับ ภาระการเงินในช่วงวัยเกษียณ ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่รายได้ลดลง
“โดยส่วนตัว ตนมองว่านอกจากมาตรการดังกล่าวซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้น รัฐบาลควรดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น โดยเน้นที่การลดภาระทางการเงินและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย อาทิ รัฐบาลควรสนับสนุนธนาคารให้เสนอสินเชื่อบ้านที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่ซื้อบ้านครั้งแรก จัดตั้งกองทุนสนับสนุนที่อยู่อาศัยที่สามารถให้สินเชื่อบ้านในอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือมีเงื่อนไขการชำระเงินที่ยืดหยุ่น รวมถึงมาตรการส่งเสริมการออมและการวางแผนการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งโปรแกรมการออมเงินเพื่อการซื้อบ้าน โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ออมเงินเพื่อการซื้อบ้าน รวมไปถึงการส่งเสริมให้มีกองทุนต่างๆ ให้ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง แต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินได้ เช่น กองทุนพัฒนาโครงการบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นต้น”
“การดำเนินมาตรการของรัฐดังกล่าว สามารถช่วยลดภาระทางการเงินและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้า ของบ้านได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมความมั่นคงในชีวิตและสังคมในระยะยาวได้ แต่หากภาครัฐมีการส่งเสริมให้มีกองทุนหรือโปรแกรมที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนการเป็นเจ้าของบ้าน ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการซื้อบ้านและสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับผู้ซื้ออีกทางหนึ่ง” นายวรยุทธ กล่าวทิ้งท้าย