สถานการณ์ COVID – 19 ช่วงที่ผ่านมา คือหนึ่งใน Disruption ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในโลกธุรกิจอย่างมากมาย โดยเฉพาะในมุมของธุรกิจโฆษณาและเอเยนซีมีเดีย ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร และพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตและผลักดันให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง
ในมุมของนักการตลาดยังพบว่า ในช่วง 2 – 3 ปีนี้ ภูมิทัศน์สื่อจะกลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายยิ่งขึ้น จากการกระจายตัวของ “แพลตฟอร์มสื่อ” โดยเฉพาะด้านออนไลน์ ทำให้โลกการสื่อสารซับซ้อนและยากต่อการเจาะกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันในด้านพฤติกรรมผู้บริโภคก็มีความซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน และมีการแตกกระจายเป็นกลุ่มก้อนที่ยิบย่อยมากขึ้น (More Fragmented Audiences) และลงลึกไปในระดับ Subculture และยิ่งเมื่อสังคมไทยได้ก้าวสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มตัว แต่เจนเนอเรชั่นใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาในสังคมมีอัตราที่ลดต่ำลง ได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการบริโภคสื่อทั้งด้านออฟไลน์และออนไลน์
นายภวัต เรืองเดชวรชัย, PRESIDENT & CEO, MI GROUP กล่าวว่า MI GROUP ในฐานะมีเดียเอเยนซีและที่ปรึกษาทางการตลาดและสื่อสารการตลาด ได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยในปีที่ผ่านมา MI GROUP ได้ประกาศวิสัยทัศน์เชิงรุกในการก้าวสู่การเป็น A Trusted Advisor ที่ไม่ใช่แค่ Traditional Media Planning & Buying แต่เป็น 360° Solution Providers ในมุม MarCom เพื่อการเป็นเพื่อนคู่คิดและเป็นที่ปรึกษา ที่พร้อมจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาด้วยเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดใหม่ๆ จาก MI Learn Lab ที่จะเข้ามาทำหน้าที่สร้าง Marketing Tool ใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ และส่งมอบข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก Marketing Insights ให้กับลูกค้า
“จากแนวโน้มของภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายยิ่งขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคก็มีความซับซ้อนมากขึ้นพร้อมการแตกเซ็กเมนต์ที่ยิบย่อยมากขึ้นไปอีก ท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ในแง่ของการทำธุรกิจจึงต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา MI GROUP จึงได้ศึกษาและพยายามสำรวจหาแหล่งรายได้ใหม่เพื่อสร้าง New S-Curve ที่จะมาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งการต่อยอดจะมุ่งไปในแนวทางการขยายออกจากธุรกิจปัจจุบันที่ทำอยู่ เนื่องจากมีบุคลากร มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และมีความถนัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
เปิดแนวรุก Biz Extension
สร้างแหล่งรายได้ใหม่ด้วย Content Biz
โดยหนึ่งใน MI GROUP’s Biz Extension ที่มองเห็นโอกาสทางการตลาด คือ Content Biz ซึ่งเป็นธุรกิจการผลิต Content ที่อาจเกิดขึ้นทั้งในรูปแบบการเป็นเจ้าของเอง หรือเป็นเจ้าของร่วมกับพาร์ทเนอร์ รวมถึงการร่วมผลิต Content ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายย่อยแต่ละกลุ่ม (Subculture) ที่ปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้น โดยรูปแบบของ Content Biz ที่ได้เริ่มทำไปแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือการร่วมลงทุนผลิตรายการโทรทัศน์ อาทิ รายการกีฬา ประเภทมวย , รายการวาไรตี้ ประเภท เกมโชว์ ท่องเที่ยว และรายการอาหาร
ซึ่ง MI GROUP เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การออกแบบเนื้อหาและรูปแบบรายการ เพื่อให้เกิดความสมดุลของ Content & Brand (Advertisers)
ทางด้าน นายสมเกียรติ กิจเชวง Chief Trade Officer, MI GROUP กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ที่ผ่านมา ทาง MI GROUP ได้ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ Biz Extension เพื่อสร้าง New S-Curve ในแสวงหาแหล่งรายได้ใหม่ที่ยั่งยืนมากขึ้น จึงได้ต่อยอดขยายธุรกิจในกลุ่ม Content Biz ออกไปอย่างต่อเนื่อง เพราะมองว่า หลังสถานการณ์ของวิกฤต Covid-19 เริ่มคลี่คลาย ทาง MI GROUP มองเห็นโอกาสจากความต้องการของกลุ่ม Gen Y และ Z ที่มองหา Physical Experience ในด้าน Music & Festival หลังจากที่เก็บกดมาหลายปี ทางบริษัทจึงได้เริ่มศึกษาพฤติกรรมของกลุ่ม Korean Fandom Communities ซึ่งมีกลุ่มย่อยอยู่เป็นจำนวนมาก
“ปีที่แล้วเรา Kick Off ธุรกิจด้าน Music & Festival ด้วยการร่วมทุนกับ DND (The Dream and Destiny Company Limited) เพื่อจัดทำเทศกาลดนตรี K-HipHop Music Festival ในชื่อ Whoop Festival ซึ่งเป็นงานแรกที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2565 และต่อเนื่องด้วย Mini Concert ครั้งแรกของ Nene ศิลปินจีนสัญชาติไทย ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และล่าสุดที่เพิ่งจบไปเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนกับคอนเสิร์ตใหญ่ของ INTO1 ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยปรากฏการณ์ SOLD OUT กับการขายบัตรคอนเสิร์ตทั้ง 2 รอบ หมดภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดขายบัตร”
นายสมเกียรติ กล่าวเสริมว่า จากการจัดแสดงคอนเสิร์ตทั้ง 3 โปรเจ็กต์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นภาพถึงความจริงจังกับแผนการทำ Biz Extension ที่จะเป็น New S-Curve ในการเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่มีศักยภาพของ MI GROUP โดย Music & Festival จะเป็นภาคต่อของการทำ Biz Extension ไปสู่เรื่องการทำธุรกิจอื่นๆ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน
“สาเหตุที่เราเข้าสู่ธุรกิจคอนเสิร์ต เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคและรูปแบบการใช้สื่อที่เปลี่ยนไปได้ส่งผลต่อการเติบโตทางธุรกิจ ทำให้เราต้องมองหาช่องทางใหม่ๆ ที่จะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้คืนกลับมา เพราะอาศัยการสร้างรายได้จากมุมของการเป็นเอเยนซีแบบเดิมๆ เช่น การยิงแอด หรือการบริหารสื่อในวิธีการเดิมๆ ไม่เพียงพอที่จะสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อีกต่อไป เราจึงแตกไลน์ไปสู่ช่องทางใหม่ๆ แต่ยังอยู่ใน Ecosystem เดิมที่ยังมีความถนัด วันนี้เมื่อเราเปลี่ยนบทบาทมาสู่การเป็นนักลงทุนในธุรกิจคอนเสิร์ต ที่ต้องมีการจ่ายเงินเซ็นสัญญากับต้นสังกัดของศิลปินก่อนมาเปิดคอนเสิร์ต ทำให้ต้องมีกระบวนการคัดเลือกศิลปินเพื่อให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเรามองเห็นเทรนด์ของไอดอลจีนกำลังมาแรง และแฟนคลับในประเทศไทยกำลังให้ความสนใจเช่นเดียวกันกับแฟนคลับในประเทศจีน เราจึงให้น้ำหนักกับคอนเสิร์ตจากศิลปินจีนเป็นหลัก” นายสมเกียรติ กล่าว
MI Learn Lab เบื้องหลังความสำเร็จ
กับการไขรหัสลับสู่ Customer Insight
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคของ Digital Technology หนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาทต่อความเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจในช่วง 2 – 3 ปีหลังจากนี้ คือ Data Analytics ที่สอดคล้องกับกระบวนการทำงานของ MI Learn Lab ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ MI GROUP จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลที่ได้จาก Marketing Tool ใหม่ๆ และนำเสนอข้อมูลในเชิง Marketing Insights ที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มลูกค้าของ MI Group
นายสมเกียรติ ยังมองว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการจัดกิจกรรมทั้ง 3 โปรเจ็กต์ที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการใช้ Marketing Tool ที่เกิดจากกระบวนการวิเคราะห์ของ MI Learn Lab โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ทำให้เข้าใจถึงความต้องการของ FANCLUB/ COMMUNITY กลุ่มต่างๆ ว่ากำลังเฝ้ารอ และพร้อมกดซื้อบัตรคอนเสิร์ตของศิลปินกลุ่มไหนบ้าง โดยนำข้อมูลต่างๆ มาประเมินความต้องการ ควบคู่ไปกับการพิจารณาขนาดของด้อมต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าควรลงทุนจัดคอนนั้นหรือไม่ ควรจัดเมื่อไหร่ บัตรราคาเท่าไหร่บ้าง รวมไปถึงบรรยากาศต่างๆ ในคอนเสิร์ตที่จะช่วยเสริมสร้างความพึงพอใจ ความประทับให้กับด้อมนั้นๆ ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจกับคอนเสิร์ตที่จะจัดในครั้งต่อๆ ไป
“ในส่วนของทีม MI Learn Lab ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ในกลุ่ม Gen Y และ Z ที่มีความเข้ากลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน ซึ่งในกระบวนการวิเคราะห์ของ MI Learn Lab จะมีการทำ Focus Group เพื่อเจาะหา Insight เชิงลึก และพิจารณาข้อมูลในหลายๆ ด้าน เช่น การดู Conversation และขนาดของด้อมใน Social Listening Tool พร้อมกับใช้ Social Listening Tool ในการตามดูฟีดแบ็คหลังปล่อยวันจัดแสดงคอนเสิร์ต เพื่อปรับกลยุทธ์ในการสร้างกระแส และตอบโจทย์ความต้องการของด้อมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีการวิเคราะห์ถึง Situation Analysis ผ่านทาง Social Platform และ Community และวิเคราะห์ถึงความเต็มใจที่จะจ่าย (Willingness to Pay) ของด้อมที่มีต่อตัวศิลปินนั้นๆ โดยคอนเสิร์ตครั้งนี้ เป็นการขึ้นคอนเสิร์ตในนาม INTO1 ครั้งท้ายๆ ก่อนจะแยกย้ายกันทำงานเพราะหมดสัญญาจากการประกวดร่วมกัน ทำให้มั่นใจว่า คอนเสิร์ตครั้งนี้จะต้องติดกระแสแน่นอน และผลตอบรับก็ดีเกินคาดสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยสัดส่วนบัตรที่จำหน่าย 70% เป็นกลุ่มแฟนคลับไทย และอีก 30% เป็นกลุ่มแฟนคลับจากประเทศจีน ที่เดินทางมาประเทศไทยแบบแพ็กเก็จทัวร์เพื่อร่วมชมคอนเสิร์ต INTO1 โดยเฉพาะ”
สำหรับศิลปิน INTO1 (อินทูวัน) เป็นบอยกรุ๊ปน้องใหม่จากประเทศจีน ได้ชื่อว่าเป็นบอยกรุ๊ปนานาชาติของวงการไอดอลจีนที่มีฐานแฟนคลับในประเทศจีนและประเทศไทยค่อนข้างแข็งแรง มีจำนวนสมาชิก 11 คน ซึ่งมีไอดอลหนุ่มไทยร่วมวงอยู่ถึง 2 คน จึงมีกระแสการตอบรับที่ดีในประเทศไทย และติดเทรนด์ทวิสเตอร์อยู่บ่อยครั้ง
นายสมเกียรติ ย้ำว่า การทำธุรกิจในรูปแบบ Content Biz เป็นการขยายธุรกิจที่เป็น New S-Curve ที่ยังเป็น Blue Ocean ซึ่งคอนเสิร์ตก็เป็น Content รูปแบบหนึ่งที่ยังต้องดูแนวโน้มต่อไปว่า ตลาดจะมีการแข่งขันมากขึ้นหรือไม่ เพราะหากมีแข่งขันสูงขึ้นก็อาจเปลี่ยนแนวทางการทำตลาด เพราะเป้าหมายของการทำ Content Biz ไม่ได้มีแค่เรื่องการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ แต่ยังมีเรื่องของการทำมินิคอนเสิร์ต การจัดแฟนมีทของนักร้องนักแสดง และในอนาคตยังมีแผนจะขยายไปสู่การทำตลาดซีรีส์วาย เพื่อทำตลาดทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ และบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ เป็นต้น
“จากประสบการณ์การทำคอนเสิร์ตที่ผ่านมาทั้ง 3 โปรเจ็กต์ ผลตอบรับโดยรวมเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะลงทุนทำแล้วยังพอมองเห็นกำไร ทำให้เราวางเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ธุรกิจ Content Biz ที่เราขยายออกไปจะสามารถสร้างรายได้กลับมาไม่ต่ำกว่า 15% ของรายได้รวมธุรกิจ ซึ่งแต่เดิมเรามีรายได้หลักมาจากการเป็นที่ปรึกษาการวางแผนสื่อสารการตลาด แต่หลังจากนี้เราจะมีรายได้จากธุรกิจใหม่ๆ ที่เราแตกแขนงออกไป และจะเป็นน้ำบ่อใหม่ เป็นแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนของเราในอนาคต ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป แม้ว่าวันนี้เราจะเพิ่มบทบาทของการเป็นนักลงทุนในธุรกิจแขนงอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เราแตกแขนงออกไปก็ยังคงอยู่ใน Ecosystem เดิมที่ยังมีความถนัด โดยเฉพาะในความเป็น A Trusted Advisor ที่ครบเครื่องด้วยเครื่องมือสื่อสารทางกรตลาดใหม่ๆ จาก MI Learn Lab ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก Marketing Insights ซึ่งจะมีกระบวนการทำงานในแนวทางเดียวกันกับที่ทำให้กับลูกค้าของเราเช่นกัน” นายสมเกียรติ กล่าว