Breaking News
Home / Finance / พาส่องความต่าง กัลฟ์ ไบแนนซ์ กับแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 2 ใบอนุญาต ที่พร้อมตอบรับทุกความต้องการของคนไทย

พาส่องความต่าง กัลฟ์ ไบแนนซ์ กับแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 2 ใบอนุญาต ที่พร้อมตอบรับทุกความต้องการของคนไทย

ท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ที่มีจำนวนนักลงทุนสูงติดอันดับโลก และจำนวนผู้เล่นในตลาดกว่าสิบราย รวมถึงการเปิดตัวของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรายล่าสุดอย่าง ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH by Gulf Binance) ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 2 ใบอนุญาต

ทั้ง Exchange และ Broker ทำให้หลายคนอาจยังมีข้อสงสัยถึงการดำเนินงาน และการนำเสนอคู่เหรียญของแต่ละแพลตฟอร์มว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร โดย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Gulf Binance) พร้อมตอบข้อสงสัย ด้วยคำตอบที่เตรียมไว้ให้ทุกคนในวันนี้

ความแตกต่างระหว่าง Exchange และ Broker ในประเทศไทย

ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และ นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน โดยศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) มาพร้อม ข้อดี คือการมีคู่เหรียญไทยบาท ซึ่งเป็นสกุลเงินท้องถิ่นที่คนไทยคุ้นเคย ทำให้นักลงทุนไม่จำเป็นต้องมาคำนวณเปลี่ยนสกุลเงินหลายต่อ รวมถึงสามารถลิสต์เหรียญของคนไทยที่คนในประเทศสนใจ เพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย ในขณะที่ ข้อเสีย จะเป็นเรื่องปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นจากนักลงทุนชาวไทยเท่านั้น ทำให้มีสภาพคล่องที่ต่ำกว่า การซื้อขายเกิดขึ้นน้อยกว่า ราคามีความผันผวนมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ Panic Sell หรือเกิดแรงเทขายอย่างหนัก ที่มีจำนวนผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ อาจส่งผลให้ผู้ขายไม่สามารถขายเหรียญได้ หรือขายได้ในราคาที่ไม่สมเหตุสมผล

สำหรับนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) จะมาพร้อมกับ ข้อดี ของความสามารถในการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ระดับโลกที่มีความน่าเชื่อถือ มีสภาพคล่องสูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อขายผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศ โดยแพลตฟอร์มระดับโลกจะมีผู้ซื้อผู้ขายเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก มีตัวเลือกคู่เหรียญที่หลากหลาย เข้าถึงคู่เหรียญใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และเนื่องจากแพลตฟอร์มระดับโลกมีขนาดใหญ่ จึงทำให้เหรียญมีราคาที่ดีกว่า ค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า ซึ่งโดยปกติแล้ว นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล จะนำเสนอคู่เหรียญ USDT เพื่อให้สอดคล้องกับที่ใช้ในแพลตฟอร์มระดับโลก แต่อย่างไรก็ตาม การเป็นนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลก็มี ข้อเสีย จากการที่ไม่สามารถเลือกเพิ่มเหรียญใหม่เองได้ 

Binance TH by Gulf Binance กับการถือ 2 ใบอนุญาตในประเทศไทย

กัลฟ์ ไบแนนซ์ ได้ทำการศึกษาถึงความต้องการของผู้ใช้งาน ทำให้ทราบว่านักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีความสนใจลงทุนทั้งในคู่เหรียญไทยบาท และคู่เหรียญ USDT รวมถึงต้องการได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการใช้งาน แต่ยังคงต้องเป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทฯ จึงได้วางแผนยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและใบอนุญาตนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลังของประเทศไทยตั้งแต่ก่อนการเปิดตัว 

นาย นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า “แพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้นำข้อดีจาก Exchange และ Broker มารวมไว้ในที่เดียว โดยแยกแถบการใช้งานออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ EXCH และ BRKR อย่างชัดเจน โดยแถบ EXCH คือ คู่เหรียญที่อยู่ภายใต้ใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่จะมีให้บริการเฉพาะคู่เหรียญไทยบาทเท่านั้น ในขณะที่แถบ BRKR หมายถึง คู่เหรียญที่อยู่ภายใต้ใบอนุญาตนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่จะมีให้บริการเพียงคู่เหรียญ USDT เท่านั้นเช่นกัน 

โดยการมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคู่เหรียญใหม่ระดับโลกในแพลตฟอร์มของประเทศไทยได้ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำเพียง 0.1% เท่านั้น”

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน แพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ถือเป็นแพลตฟอร์มที่นำเสนอคู่เหรียญมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 160 คู่เหรียญ (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2567)

ไขข้อดีคู่เหรียญ USDT ทำไมต้องมีบนแพลตฟอร์ม Binance TH

หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าสิ่งที่ทำให้คู่เหรียญไทยบาท และคู่เหรียญ USDT แตกต่างกันอย่างมาก คือ เรื่องของ “สภาพคล่อง” หรือความสามารถที่ทรัพย์สินจะเปลี่ยนสภาพเป็นเงินสด ดังนั้น หากตลาดหรือแพลตฟอร์มไหนมีผู้ใช้งานจำนวนมาก มีความต้องการซื้อขายสูง จะถือว่าตลาดหรือแพลตฟอร์มนั้น มี “สภาพคล่องสูง” ซึ่งถึงแม้ว่าการซื้อขายคู่เหรียญ USDT อาจจะมีความยุ่งยากมากกว่าการซื้อขายด้วยคู่เหรียญไทยบาท แต่ด้วยข้อดีที่มีอย่างมากมาย ทำให้นักลงทุนจำนวนมากต่างให้ความสนใจกับคู่เหรียญนี้

USDT โดยบริษัท Tether เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของ CoinMarketCap ซึ่งมูลค่าของเหรียญนี้ได้ถูกผูกยึดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ทำให้มีความผันผวนต่ำ และถูกจัดให้เป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมให้นำมาจับคู่กับเหรียญอื่นๆ อย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุนี้ คู่เหรียญ USDT จึงมีสภาพคล่องสูง เมื่อเทียบกับคู่เหรียญไทยบาท ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ กัลฟ์ ไบแนนซ์ ได้นำเสนอคู่เหรียญบนแพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนักลงทุนชาวไทยนั่นเอง

กัลฟ์ ไบแนนซ์ จะยังคงเดินหน้าเพิ่มโอกาสทางการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์การซื้อขายอันดีเยี่ยม และมาตรฐานความปลอดภัยที่เหนือชั้น ภายใต้กรอบการกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสริมความแกร่งให้ประเทศไทยมีศักยภาพพร้อมก้าวสู่อนาคตแห่งโลกดิจิทัลต่อไป

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Binance TH by Gulf Binance Twitter: Binance TH และ Facebook: Binance TH

Check Also

AIS ประสบความสำเร็จการขายหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย

“บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “AIS”)  ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่เชื่อมั่นและจองซื้อหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนที่บริษัทเสนอขายในครั้งนี้จำนวน 5 รุ่น ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.54% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 4 ปี ที่อัตราดอกเบี้ย 2.74% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.76% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.92% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.22% ต่อปี  โดยเปิดจองซื้อในระหว่างวันที่ 8 และ 11-12 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ระดับ AAA(tha) จาก บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี  ส่งผลให้ยอดจองซื้อหุ้นกู้เต็มจำนวนตามเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท